ปรับหน้าเว็บไซต์ให้ดูทันสมัย ด้วยเทรนด์สีแห่งปี 2024

ทำไมเราต้องปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ให้ดูทันสมัย ? เนื่องจากเว็บไซต์เป็นเครื่องมือทางธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญในด้านต่าง ๆ เช่น การโปรโมทสินค้าและบริการ การสื่อสารกับลูกค้า การสร้างความยึดมั่นของลูกค้า การบริการหลังการขาย การเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ การสร้างความน่าเชื่อถือ และการเพิ่มช่องทางการขาย เป็นต้น ดังนั้นการปรับหน้าเว็บไซต์ให้ดูทันสมัยจะช่วยให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ต่อการใช้งานเว็บไซต์ที่ดี สะดวกสบาย และมีประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น อีกทั้งการปรับหน้าเว็บไซต์ยังครอบคลุมด้านความปลอดภัย รวมถึงการติดตามแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และการปรับปรุงตามอัตลักษณ์หรือความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้เว็บไซต์สามารถอยู่ในการแข่งขัน และทันสมัยตลอด เราสามารถปรับหน้าเว็บไซต์อย่างไรได้บ้าง ? การนำเข้าแนวโน้มด้านดีไซน์ที่ทันสมัยมีความสำคัญอย่างมากในการปรับหน้าเว็บไซต์ เนื่องจากจะช่วยเสริมสร้างด้านความสวยงามให้กับเว็บไซต์ และมีผลต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ อีกทั้งแนวโน้มด้านดีไซน์ดังกล่าวรวมถึงการจัดวางองค์ประกอบของหน้าเว็บไซต์ และการเลือกใช้สีในการออกแบบเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์มีรูปแบบที่ดูดี และน่าดึงดูด ซึ่งในการปรับแต่งการจัดวางองค์ประกอบของหน้าเว็บไซต์สามารถจัดวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่กระชับ สะดวก และมีความสมดุล รวมถึงการใช้สีที่เหมาะสม และน่าสนใจยังเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการสร้างแบรนด์ และให้ความรู้สึกที่ถูกต้องต่อผู้ใช้ ด้วยเหตุนี้การปรับหน้าเว็บไซต์ให้ดูทันสมัย รวมถึงการเลือกใช้สีในการออกแบบเว็บไซต์ที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากสีเป็นเครื่องมือในการสื่อสารที่ทรงพลัง และมีบทบาทในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่แฟชั่น เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ รวมถึงโฆษณา ซึ่งอยู่ภายใต้บริบท และแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทั้งนี้ทาง mininggarden จึงจะแนะนำสีที่สามารถนำมาใช้ในการปรับหน้าเว็บไซต์ให้ดูทันสมัยมากขึ้น ด้วยเทรนด์สีแห่งปี 2024 อ้างอิงจากรายงานเจาะเทรนด์โลก TCDC ซึ่งจะมีสีอะไรบ้างนั้นสามารถติดตามไปพร้อมกัน เทรนด์สีที่ 1 Rich Gold เฉดสีเบจแกมทอง Pantone 16-0836 TCX โทนสีที่ดูเรียบง่าย ผ่อนคลาย ให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติ สไตล์ Low – Key และถูกใช้เป็นตัวแทนของความอ่อนน้อมถ่อนตน แบรนด์ต่าง ๆ นิยมนำสีนี้ไปใช้เพื่อให้ชิ้นงานมีความรู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น เทรนด์สีที่ 2 Coral Gold เฉดสีส้มอมน้ำตาล Pantone 16-1337 TCX โทนสีที่เป็นตัวแทนของพลังบวกให้ความรู้สึกดี มีชีวิตชีวา ช่วยสร้างความรู้สึกสบายตา และอบอุ่น  มักถูกนำมาใช้ในพื้นที่แบบ Multi-Function สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ช่วยให้ Community มีชีวิตชีวามากขึ้น เทรนด์สีที่ 3 Butterfly เฉดสีเขียวอ่อนแบบดิจิทัล Pantone 12-0322 TCX เทรนด์สีนี้มาจากความคุ้นเคยในดิจิทัลอย่างเต็มตัว บวกกับกระแสการอยู่ร่วมกับธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึกหลงใหลไปกับธรรมชาติ เปี่ยมด้วยจินตนาการ และเทคโนโลยี ให้ความรู้สึกสนุก มีสีสัน มีความล้ำสมัย และทรงพลัง เทรนด์สีที่ 4 Carpi เฉดสีฟ้าอมเขียว Pantone 15-4722 TCX เทรนด์สีนี้เป็นเฉดสีแห่งพลังมหาสมุทร และอัญมณี แข็งแกร่ง ทนทาน และปนความนุ่มนวล อีกทั้งเป็นตัวแทนของความเรียบหรู ให้ความรู้สึกด้านความเชื่อการเสริมดวง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สายมู และให้ความรู้สึกสนุกสนาน เทรนด์สีที่ 5 Raspberry Rose เฉดสีชมพูเข้ม Pantone 18-2333 TCX โทนสีที่ให้ความรู้สึกเป็นกลาง ไร้เพศ มีพลัง และเป็นตัวแทนของความกล้าหาญ เติมเต็มคุณค่า โดยหลังการเกิดขึ้นของภาพยนตร์ “Barbie” (ปี 2023) ที่นิยามว่าเราทุกคนงดงามในแบบของตัวเอง ทำให้สีนี้ถูกใช้แสดงถึงความเท่าเทียม และความเสมอภาค เทรนด์สีที่ 6 Violet Storm เฉดสีม่วง Pantone 18-3944 TCX สีแห่งความหรูหรา สัญลักษณ์ของความเท่าเทียมด้านมนุษยชน มีอิสระ มีคุณค่า และกระตุ้นให้เกิดพลัง ในเชิงจิตวิทยาเป็นสีที่มีความสะดุดตา เหมาะสำหรับนำไปใช้ในกิจกรรมด้านจิตวิญญาณ…

ทำไมเรา ต้องรู้ทันเทรนด์เทคโนโลยีด้วยนะ ?

การรู้ทันเกี่ยวกับเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ ๆ มีผลต่อกลยุทธ์ของธุรกิจ และองค์กร ช่วยให้องค์กรมีมุมมองที่ก้าวหน้า และเปิดโอกาสในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้าสู่การดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตามเมื่อเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ปี 2024 จะสังเกตเห็นได้ว่าหลาย ๆ องค์กรเริ่มมีการคาดการณ์เกี่ยวกับเทรนด์เทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยองค์กรให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นเดียวกันกับ Gartner บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก ได้คาดการณ์ถึงเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่จะมีบทบาทสำคัญในช่วง 3 ปีถัดไป ซึ่งจะมีรายละเอียดอย่างไร รวมทั้งธุรกิจของเราจะสามารถนำมาปรับใช้อย่างไรได้บ้าง ติดตามไปพร้อมๆ กัน 10 เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ ในปี 2024 (Strategic Technology Trends 2024)  แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ Protect investment, Rise of the builders และ Deliver the value มีรายละเอียดดังนี้ กลุ่มที่ 1. Protect Investment 1. AI Trust, Risk and Security Management (AI TRiSM)  ปัจจุบันการเข้าถึง และใช้งานเทคโนโลยี AI กว้างขวางมากขึ้น ทำให้ความเชื่อถือ ความเสี่ยง และการรักษาความปลอดภัยของเทคโนโลยี AI ถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยผู้ใช้งานหรือองค์กรจะต้องมีความเชื่อมั่นในระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย ดังนั้น AI TRiSM จึงเป็นแนวทางเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดปัญหา ซึ่ง Gartner ได้คาดการณ์ว่าภายในปี 2026 การใช้ AI TRiSM ควบคุมในองค์กรจะเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจสามารถกำจัดข้อมูลที่ผิดพลาด และผิดกฎหมายออกไปได้ถึง 80% ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญมาก ช่วยลดอคติในการตัดสินใจ และช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ 2. Continuous Threat Exposure Management (CTEM) โปรแกรมการจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่ได้เน้นที่การแก้ไขปัญหาเพียงครั้งเดียว แต่เป็นแนวทางการจัดการที่ต่อเนื่อง รวมถึงกระบวนการการระบุหรือจัดลำดับความเสี่ยง การตรวจจับความเสี่ยง และการปรับปรุงความปลอดภัยตามลำดับ ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อการโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันที ตามที่ Gartner ได้คาดการณ์ว่าภายในปี 2026 องค์กรต่าง ๆ จะให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านความปลอดภัย โดยองค์กรที่ใช้ CTEM จะเห็นความเสียหายจากการถูกละเมิดความปลอดภัยลดลงถึง 2 เท่า 3. Industry Cloud Platforms เป็นแพลตฟอร์มคลาวด์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับ และปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการของกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นกลยุทธ์การจัดการผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สามารถรวมบริการ SaaS, PaaS และ IaaS ไว้ในระบบฐานข้อมูลเดียวกัน ช่วยให้ธุรกิจสามารถให้บริการที่เฉพาะเจาะจง และตอบสนองต่อความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถรับมือหรือปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว โดย Gartner คาดการณ์ว่า ภายในปี 2027 จะมีการใช้แพลตฟอร์มคลาวด์อุตสาหกรรมในองค์กรต่าง ๆ มากกว่า 50% 4. Sustainable Technology เทคโนโลยีที่ยั่งยืนเป็นกรอบการทำงานของดิจิทัลโซลูชันที่ใช้เพื่อให้เกิดการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการบริหารจัดการที่มีความรับผิดชอบทางสังคม และสร้างความคุ้มค่าทางธุรกิจ (ผลลัพธ์ทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารจัดการ (ESG)) นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีที่ยั่งยืนส่งผลให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง และสร้างความเชื่อมั่นในผู้บริโภคที่มีค่านิยมด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีที่ยั่งยืน และมีประสิทธิภาพจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจดีขึ้น ซึ่งกลายเป็นเรื่องสำคัญที่น่าจับตามองในอนาคต 5. Democratized Generative AI การทำให้เทคโนโลยี Generative AI…

โฆษณาออนไลน์ ก่อนที่จะทำต้อง …

สำหรับใครที่ค้นหาการด้านการตลาดออนไลน์มาสักพัก คงจะทราบว่าการลงโฆษณาออนไลน์นั้นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่ง  โดยที่ธุรกิจที้งหลายไม่ควรมองข้าม เพราะด้วยการลงโฆษณาออนไลน์ จะสามารถช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้าได้อย่างตรงกลุ่ม และยังเพิ่มสามารถโอกาสในการปิดการขายที่มากขึ้นอีกด้วย  แต่การเริ่มต้นลงโฆษณาออนไลน์ ก็จะเริ่มมีเรื่องค่าใช้จ่ายที่หลายคนก็เริ่มที่จะลังเลว่าจะคุ้มรึเปล่า จนอาจนำไปสู่การตัดสินใจไม่ทำ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก  แน่น่อนครับแล้วเราจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า ที่เราเสียเงินและเวลาไปกับการโฆษณาออนไลน์ จะไม่สูญเปล่า ?   ในการลงโฆษณาออนไลน์ คงไม่สามารถบอกได้อย่างมั่นใจว่าจะทำให้ธุรกิจของคุณดีขึ้นในทันที เพราะมันต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ และ การเริ่มต้นเป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจของคุณเดินไปข้างหน้า ก็จะเห็นภาพของผลลัพธ์ได้มากขึ้น    1. มาเริ่มกันที่การลงโฆษณาออนไลน์นั้นมีอะไรบ้าง ?                 ในหมู่พวกเขามีหลายช่องทางที่เราสามารถเลือกได้จากการโฆษณาออนไลน์ ดังนั้น คุณควรเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจว่าการโฆษณาออนไลน์เกี่ยวกับอะไร เมื่อพูดถึงการโฆษณาออนไลน์ ก็มีโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook Ads และ Google Ads ซึ่งแต่ละช่องทางก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนต่างกัน การรวมผู้ใช้ที่แตกต่างกันในแต่ละช่องวันนี้เราจะเข้าใจกันก่อนว่าโฆษณาออนไลน์คืออะไร ผมขอแบ่งตามช่องทางโฆษณาออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ดังนี้ 1.1 “Google Ads” การลงโฆษณาออนไลน์ผ่าน Google  Google Ads ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งก็ตามที่เรารู้กันดีว่าแพลตฟอร์ม Google มีจำนวนคนที่เข้าใช้มากขนาดไหน Google Ads  หลัก ๆ แล้วสำหรับการลงโฆษณาออนไลน์บน Google Ads จะมีรูปแบบที่เป็นที่นิยมอยู่ทั้งหมด 2 รูปแบบด้วยกัน ซึ่งประกอบไปด้วย   Google Display Network (GDN) คือ การลงโฆษณาออนไลน์บนรูปแบบ Banner Ads ที่ขึ้นตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งก็มีรูปแบบที่หลากหลาย และสามารถเลือกตำแหน่งที่ต้องการจะแสดงได้  Search Engine Marketing (SEM) คือ การลงโฆษณาออนไลน์บนรูปแบบของเว็บไซต์ที่จะขึ้นแนะนำในอันดับแรก ๆ ของการค้นหาบน Google ซึ่ง SEM จะมาในรูปแบบตามปกติของการค้นหา Google ที่แฝงไปด้วยโฆษณาของเรา  1.2 “Facebook Ads” การลงโฆษณาออนไลน์บน Facebook  การลงโฆษณาออนไลน์ผ่าน Facebook Ads ไม่ต้องสงสัยกับการลงโฆษณาออนไลน์บน Facebook ที่เราน่าจะคุ้นเคยกันอย่างดี ซึ่งการโฆษณาบน Social Media ที่ได้รับความนิยมเช่นนี้ จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงเป้าหมายได้มากขึ้นครับ ซึ่งรูปแบบของการลงโฆษณาออนไลน์ผ่าน Facebook Ads ก็มีหลากหลาย เช่น รูปภาพ วิดีโอ หรือ การทำโฆษณาออนไลน์รูปแบบที่หลากหลาย 1.3 การลงโฆษณาออนไลน์บนช่องทางอื่น ๆ การลงโฆษณาออนไลน์นั้นไม่ได้มีแค่ช่องทาง Facebook Ads กับ Google Ads  เท่านั้นแต่ยังมีช่องทางอื่นอยู่อีก เช่น ทำ Email Marketing  ช่องทาง E-mail ที่เน้นการส่งอีเมลไปหาลูกค้าเพื่อสื่อโฆษณา ทำ YouTube Ads ช่องทาง YouTube เล่าเรื่องได้มากกว่าผ่านรูปแบบการโฆษณาระหว่างดูวิดีโอภาพเคลื่นไหว รู้โฆษณาออนไลน์มีรูปแบบอะไรบ้างไปแล้ว เรายังต้องรู้ว่าถึงว่าโฆษณาออนไลน์รูปแบบนั้นๆเหมาะสมกับธุรกิจเราหรือไม่ แล้วเราค่อยเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสมในการลงโฆษณาออนไลน์ให้ได้ผลมากที่สุด   2. ความสำคัญของ Keyword ( คีย์เวิร์ด )  การโฆษณาออนไลน์ อีกองค์ประกอบสำคัญอย่างมากที่ทุกคนต้องเข้าใจนั่นคือ “คีย์เวิร์ด” ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากในการลงโฆษณาออนไลน์โดยเฉพาะใน Search Marketing ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเข้าถึงตัวเป้าหมาย   “คีย์เวิร์ด” สำคัญอย่างไร ?   ในแง่ของ Search Marketing การเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงกับความคิดของลูกค้ามีผลอย่างมากในการที่ลูกค้าจะสามรถเข้าถึงได้ ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ...

ระบบจัดการคำสั่งซื้อ ทำงานยังไงกัน

ธุรกิจแทบจะทั้งหมดนั้น มีการจัดการกับคำสั่งซื้ออยู่แล้วในระดับหนึ่ง ระบบการจัดการคำสั่งซื้อนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่งโดยเฉพาะในธุรกิจค้าขายออนไลน์ ในบางธุรกิจอาจต้องจัดการกับคำสั่งซื้อจำนวนมากในแต่ละเดือนที่มาจากทั้งตัวร้านค้า เว็บไซต์ และตลาดต่างๆ ที่หลากหลาย เพื่อให้สินค้าสามารถส่งถึงลูกค้าได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ ไม่ก่อให้เกิดความผิดพลาด ระบบ การจัดการ order กลายเป็นสิ่งที่เข้ามามีส่วนร่วมกับธุรกิจในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ผู้ค้าปลีกอาจขายผ่านเว็บไซต์ Lazada เช่นเดียวกับบน Shoppee และ facebook แทนที่จะเข้าสู่ระบบในแต่ละช่องทางเพื่อจัดการและปฏิบัติตามคำสั่งซื้อ ระบบการจัดการคำสั่งซื้อจะรวมทุกอย่างไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ขั้นตอนการจัดการคำสั่งซื้อมีอะไรบ้าง  การจัดการคำสั่งซื้อเริ่มต้นจากตกลงคำสั่งซื้อ และดำเนินต่อไปจนถึงการส่งมอบและการคืนสินค้า การจัดการคำสั่งนี้ประกอบด้วยหลายขั้นตอน:   ทำการจำแนกช่องทางการขาย การขายสินค้ามีช่องทางหลากหลายมากขึ้นโดยเฉพาะคนที่ทำธุรกิจออนไลน์ ไหนจะลูกค้าสั่งผ่านFacebook , ig , ไลน์, เว็บฝากขาย การมีระบบจัดการ order จะช่วยให้ทุกคำสั่งซื้อนำมารวมเอาไว้ในที่เดียวกัน เมื่อพนักงานตรวจสอบก็จะไม่เกิดการตกหล่นของออเดอร์ในแต่ละวัน พนักงานทำการตรวจสอบ ระบบนี้เมื่อพนักงานเปิดเจอออเดอร์จะรู้ว่าทันทีว่าเป็นคำสั่งซื้อที่มาจากช่องทางไหน หากมีข้อสงสัยหรือคำถามก็สามารถสอบถามไปยังลูกค้าได้โดยตรง ไม่ใช่ระบบจัดการอัตโนมัติแบบเต็มตัว ดังนั้นการที่มีตัวช่วยดี ๆ จะทำให้งานราบรื่นมากกว่าเดิม ทำการตรวจสอบการชำระเงิน ระบบ การจัดการ order ยังสามารถระบุได้ว่าช่องทางที่ลูกค้าจ่ายเงินมาเป็นแบบไหน เช่น โอนผ่านมือถือธนาคารอะไร ยอดเงินกี่บาท เพื่อให้รู้ว่าลูกค้าคนไหนมีสถานะพร้อมส่งเนื่องจากชำระเงินแล้ว ลูกค้ารายไหนแม้สั่งออเดอร์มาแต่ยังไม่ได้จ่ายเงินตามที่กำหนดก็พักไว้ก่อน ไม่สามารถจัดส่งได้ ทำการสร้างรูปแบบของการส่ง ด้วยสมัยนี้วิธีส่งมีหลากหลายแม้กระทั่งใช้บริการผู้ขนส่งจากภายนอกยังมีหลายเจ้า การจัดการ order จะช่วยให้คุณรู้ว่าสินค้าแต่ละออเดอร์ที่ถูกส่งออกไปสถานะการส่งเป็นอย่างไร เวลาลูกค้าสอบถามสามารถตอบได้ทันที มี Tracking ชัดเจน เพราะระบบนี้มีการระบุรายละเอียดต่าง ๆ มาครบถ้วน ชัดเจน รวมถึงที่อยู่ที่ลูกค้าต้องการให้จัดส่ง ไม่ต้องเมื่อยมือพิมพ์หรือเขียนด้วยตนเอง แค่ปริ้นท์ออกมาจากระบบก็สามารถแปะกับพัสดุเพื่อเตรียมนำส่งต่อได้ทันที ประหยัดแรงงานคน ประหยัดเวลาไปได้เยอะมากทีเดียว มีบันทึกคำสั่งซื้อของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจการที่ร้านมีระบบบันทึกคำสั่งซื้อเมื่อลูกค้าซื้อบ่อยเข้าด้วยสิ่งของประเภทเดิมก็ไม่ต้องเสียเวลามาบอกทีละอย่าง แค่ระบุให้ส่งเหมือนเดิมแค่นี้ก็ดึงข้อมูลมาตอบได้ทันที  เชื่อมต่อกับคลังสินค้าได้ เนื่องจากร้านค้าหลาย ๆ ร้านไม่ได้มีคลังสินค้าที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน ดังนั้นการเลือกระบบ การจัดการ order เข้ามาจะช่วยให้เชื่อมต่อข้อมูลต่าง ๆ ไปยังคลังสินค้าได้ง่ายขึ้น หรือจะเป็นการลิงค์ทั้ง 2 ส่วนให้ได้รับข้อมูลแบบเดียวกันเลยก็ไม่มีปัญหา ถือว่าเป็นความสะดวกที่จะไม่ทำให้คำสั่งซื้อผิดพลาด การเปิดบิลง่ายกว่าที่คิด ไม่ต้องมานั่งทำหัวบิลให้ยุ่งยาก ระบบตัวนี้จะช่วยให้คุณสะดวกมากขึ้น แค่เปิดบิลตามรายละเอียดที่ลูกค้าระบุก็สามารถปริ้นท์ออกมาใช้งานได้ทันที ช่วยให้เกิดความเที่ยงตรง ไม่มีข้อผิดพลาด ลดปัญหาการโดนโกงได้เป็นอย่างดี จัดการเอกสารได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะบิลคำสั่งซื้อ, บิลเปิดออเดอร์, บิลรายละเอียดการชำระเงิน ฯลฯ ก็สามารถทำได้เบ็ดเสร็จในจุดเดียว  สร้างระบบแจ้งเตือนส่งตรงถึงลูกค้า ในระบบ การจัดการ order ที่ประสิทธิภาพสูง สามารถแจ้งรายละเอียดต่าง ๆ ได้กับลูกค้าได้โดยตรง เช่น เลข Tracking ซึ่งจะทำให้ประหยัดเวลาในการไล่เรียงคำตอบส่งไปได้อีกเยอะ ป้องกันความผิดพลาดได้ดี  

Remarketing กลยุทธ์ทำโฆษณา พิชิตใจลูกค้า

ธุรกิจออนไลน์นั้นมีการแข่งขันที่สูง ด้วยการทำ Remarketing ที่จะสามารถดึงลูกค้าเก่าๆ ให้กลับมาซื้อสินค้าใช้บริการอีกครั้งหนึ่งได้ ก็เริ่มจาก Remarketing นั่นคืออะไร ถ้าหากเราใช้มันอย่างถูกต้อง มันจะมีผลดีขนาดไหน หากจะเริ่มจากการรู้จักแบรนด์ และทำให้เกิดความสนใจ  จนเข้ามาที่หน้าเว็บไซต์ กระทั่งตัดสินใจ ที่จะซื้อสินค้าในที่สุด แต่ในบางครั้ง ย่อมมีลูกค้าบางส่วนที่หลุดออกไปอยู่เหมือนกัน เช่น ยังไม่ตัดสินใจซื้อแล้วตอนนี้ ไม่มีความสนใจมากพอ หรือได้ทำการซื้อสินค้าร้านอื่นแล้ว เป็นต้น แต่อย่างไร ยังดีที่คนกลุ่มนี้ยังมีประสบการณ์ที่เคยเห็นแบรนด์ธุรกิจของเรามาก่อน ผ่านจาก social media หรือโฆษณาต่างๆที่เราลงไว้ และได้ทำความรู้จักกับแบรนด์อยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งเราจะสามารถทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อที่จะไม่ให้คนเหล่านี้ลืมแบรนด์ธุรกิจของเรา เพื่อที่จะกระตุ้นให้กลับเข้ามาร้านค้าออนไลน์ของเรา หรือมาเข้าชมเว็บไซต์ของเราอีก เพื่อวันไหนที่เขาคิดถึงสินค้าหรือบริการเขาจะนึกถึงแบรนด์ของเรา   ทำไมเทคนิคการทำ Remarketing ถึงสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์ล่ะ ? ตัวช่วยที่เราจะมาเสนอ Remarketing มีการใช้กันอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว แต่เป็นสิ่งที่หลายๆ แบรนด์ธุรกิจต่างๆยังไม่ค่อยเห็นความสำคัญ เพื่อการนำไปใช้อย่างถูกต้อง ซึ่งตัวช่วยนี้ก็คือ การทำ Remarketing ซึ่งจะช่วยเราเชื่อมโยงกับลูกค้าไม่หลุดไปหาแบรนด์ธุรกิจเจ้าอื่นๆ การทำ Remarketing ให้เวิร์คด้วย Audience List ก่อนอื่นที่จะทำ Remarketing จะต้องมี Audience List ก่อน ซึ่งคือลิสต์คนที่เคยเข้าเว็บไซต์ของเรานั่นเอง โดยการเก็บ Audience List อาจทำโดยการเก็บข้อมูลจากคนที่เข้าเว็บไซต์ทั้งหมด หรือแบ่งตามเนื้อหาบนเว็บไซต์ ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Conversion Funnel ก็ได้ หัวใจสำคัญของการทำ Remarketing คือ การแบ่งกลุ่มลูกค้า เพื่อที่จะสามารถยิงโฆษณา และสื่อสารอย่างเฉพาะเจาะจงไปยังกลุ่มนั้นๆ และเพิ่มเปอร์เซ็นต์ในการกลับเข้ามามายังเว็บไซต์ โดยการทำ Audience List จะแบ่งกลุ่ม Audience ได้ 3 รูปแบบหลักๆ ดังนี้ ความสนใจ (Retarget by Interest) คัดกรองคนที่สนใจในสินค้า หรือบริการนั้นๆ เช่น หากบนเว็บไซต์ขาย รองเท้าหนัง รองเท้าผ้าใบ และรองเท้าแตะ ก็อาจแบ่งกลุ่ม สำหรับแต่ละสินค้า หรืออาจจะแบ่งลึกกว่านั้นก็ได้ เช่น แบ่ง 2 กลุ่มสำหรับรองเท้าผ้าใบ เป็นรองเท้าผ้าใบ รุ่น X และ รุ่น Y เป็นต้น ระยะเวลาการใช้งาน  (Retarget by Time Spend) ในบางแคมเปญเราอาจไม่ได้วัดผลด้วยการกดสั่งซื้อ โดยเฉพาะแคมเปญที่เน้น Awareness หรือสร้างการรับรู้ สิ่งที่เราจะวัดได้ว่าลูกค้าสนใจแบรนด์เราแค่ไหนก็คือการใช้ “เวลา” เป็นตัววัด เช่น เวลาที่รับชมวีดีโอ (เก็บขข้อมูลลูกค้าเข้า Audience List หากดูวีดีโอเกิน 15 วินาที) หรือเวลาที่ใช้บนเว็บไซต์ (เข้าชมเนื้อหาบนเว็บไซต์เป็นเวลาเกิน 10 วินาที) สถานะลูกค้า (Retarget by Customer Status) หากเป็นเว็บไซต์ eCommerce หรือเว็บไซต์ที่ต้องใช้งานหลายขั้นตอน เช่น กดดูสินค้า -> Add to Cart -> Payment Information -> Complete Payment เราอาจจะสร้าง Audience List แยกสำหรับแต่ละขั้นตอนก็ได้ เช่น…

ความสำคัญของระบบจัดการคำสั่งซื้อ Order Management System

ลูกค้าเยอะออเดอร์แยะ จัดการไม่ทัน ?              ร้านใหญ่ๆ ที่มีออเดอร์เยอะๆ เขาจัดการ ออเดอร์ทั้งหมดได้ยังไงและยังไม่มีผิดพลาดหรือว่าตกหล่นในใด เพราะว่า ในการใช้แรงงานคนความผิดพลาดย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการหลงลืม หรือแม้กระทั่งการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างตัวลูกค้ากับผู้รับออเดอร์ วันนี้ผมมีเทคนิคที่องค์กรส่วนใหญ่ใช้เพื่อช่วยแก้ปัญหาจัดการออเดอร์ไม่ไหว มาบอกเพื่อน ๆ นักธุรกิจครับ ทางเราจึงขอเสนอตัวช่วยที่จะช่วยจัดการออเดอร์สินค้าของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ  ระบบจัดการคำสั่งซื้อ คืออะไร ระบบจัดการคำสั่งซื้อ (Order Management System: OMS) คือ  ระบบที่ถูกออกแบบและพัฒนาเพื่อการจัดการออเดอร์การซื้อการขาย หรือการสั่งซื้อต่างๆ ที่ทำมาเพื่อธุรกิจออนไลน์โดยเฉพาะ คุณสามารถจัดการรายละเอียดเกี่ยวกับออเดอร์ทั้งหมดภายในระบบนี้จบได้ในที่เดียว ในเบื้องต้น ระบบจะเริ่มต้นทำงานเมื่อมีการกรอกคำสั่งซื้อลงไป นอกจากจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับ Order แล้ว ระบบสามารถจัดกลุ่มคำสั่งซื้อและเรียงลำดับตามความสำคัญของออเดอร์นั้นๆได้  จากนั้นจะแจกจ่ายสต๊อกสินค้าตามคลังสินค้า และสร้างวัน เวลา เพื่อกำหนดส่งสินค้าตามที่กำหนดในปัจจุบันระบบจัดการคำสั่งซื้อ สามารถเชื่อมต่อกับ API รองรับออเดอร์ได้หลายช่องทาง โดยสามารถรับออเดอร์ หรือส่งข้อมูลออเดอร์มาจาก API Marketplace ต่างๆ เช่น Shopee  , Lazada เป็นต้น ข้อดีของระบบจัดการคำสั่งซื้อ 1.ระบบจัดการคำสั่งซื้อ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างแม่นยำและทั่วถึง ระบบจัดการคำสั่งซื้อนั้น อย่างที่บอกว่าสามารถเข้ามาช่วย ทำให้ง่ายต่อการจัดการคำสั่งซื้อ และขั้นตอนต่างๆ ในการขาย ส่งผลดีต่อธุรกิจเองอีกด้วย ผู้ประกอบการสามารถรวบรวมคำสั่งซื้อหรือข้อมูลต่างๆ ของลูกค้าไว้ในฐานข้อมูลเดียวกันได้ ทำให้วิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างทั่วถึง ช่วยปรับปรุงการจัดการคลังสินค้า  การขายสินค้า การบริการ รวมถึงนำเข้ามูลเหล่านั้นไปวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดได้ ผู้ประกอบการสามารถเรียกดูประวัติคำสั่งซื้อย้อนหลังได้ด้วย ทำให้เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้ามากขึ้น 2.ระบบจัดการคำสั่งซื้อ สามารถช่วยจัดการออเดอร์จำนวนมหาศาลได้ ออเดอร์ที่หลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก หากจัดการไม่ดี ก็มีโอกาสทำงานผิดพลาดได้ เช่น ออเดอร์ตกหล่น หรือส่งล่าช้า ทำให้ลูกค้าไม่พอใจได้ ดังนั้น  ระบบจัดการคำสั่งซื้อ จึงเข้ามาช่วยจัดการคำสั่งซื้อ ช่วยรับออเดอร์ และติดตามรายการคำสั่งซื้อต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการบริหารจัดการคำสั่งซื้อได้ครบและจบในที่เดียว 3.ระบบจัดการคำสั่งซื้อ เชื่อมต่อ API ได้อย่างหลากหลาย ระบบจัดการคำสั่งซื้อ เป็นระบบซึ่งสามารถเชื่อมต่อ API ได้ อย่างที่เราได้กล่าวถึงไปแล้วในข้างต้นว่าสามารถรองรับออเดอร์จากลูกค้าได้หลากหลายช่องทาง เช่น Lazada, Shopee, หรือช่องทางอื่นๆ ที่ผู้ขายสนใจ นอกจากนั้นยังมีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายด้วย เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ซื้อมากขึ้น 4.ระบบจัดการคำสั่งซื้อ ช่วยลดต้นทุนการจ้างงานได้ ธุรกิจของคุณไม่ต้องจ้างพนักงานจำนวนมากอีกต่อไป ในเมื่อออเดอร์ที่มีมากมายในแต่ละวัน จะถูกจัดการโดยระบบจัดการคำสั่งซื้อ ที่เป็นซอฟแวร์ที่ให้บริการครบและจบในที่เดียว ช่วยให้การจัดการออเดอร์เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นและไม่ต้องกังวลด้วยว่าข้อมูลสำคัญต่างๆ จะหายไป เพราะข้อมูลได้ถูกเก็บไว้ในระบบอย่างดี มีความปลอดภัยสูง 5.ระบบจัดการคำสั่งซื้อ ช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน ช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากและซับซ้อน เพราะทุกขั้นตอนนั้นจะถูกระบบจัดการให้เรียบร้อยแทบทั้งหมด นอกจากนั้นเงินเกิดข้อผิดพลาดได้ยากอีกด้วย เพราะบางครั้งการใช้แรงงานคนทำงาน อาจมีข้อผิดพลาดได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารที่อาจเกิดความเข้าใจผิดหรือข้อมูลคลาดเคลื่อนได้ ปัญหาการจัดการออเดอร์จะหมดไปหากใช้ประโยชน์จากระบบจัดการคำสั่งซื้อ   ถึงตรงนี้แล้ว คุณคงเข้าใจมากยิ่งขึ้น เกี่ยวกับระบบจัดการคำสั่งซื้อ และข้อดีที่น่าสนใจต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับร้านค้า หรือธุรกิจออนไลน์ ที่กำลังมองหาผู้ช่วยดีๆ ในการจัดการออเดอร์อย่างมีประสิทธิภาพ รับรองว่าปัญหาการจัดการออเดอร์จำนวนมาก หรือการจัดการที่ยุ่งยากและซับซ้อนจะหมดไป ระบบจัดการคำสั่งซื้อ มีประโยชน์อย่างมาก ต่อธุรกิจของคุณอย่างแน่นอน  

Online Payment ในร้านค้าออนไลน์ ดีอย่างไร

  ยุคนี้วิธีการชำระเงิน ไม่ได้มีแค่โอนเงินผ่านธนาคาร หรือตัดเงินผ่านบัตรเท่านั้น การชำระผ่าน Online Payment เป็นอีกหนึ่งความสะดวกสบายของคนซื้อของยุคออนไลน์นี้ เพราะสามารถเลือกซื้อสินค้าแล้วโอนจ่ายผ่านทางมือถือได้ทันที เพียงแค่คุณมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตบนมือถือและมี Online Payment ของทางธนาคารใดธนาคารหนึ่ง เท่านี้คุณก็จ่ายค่าสินค้าได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องออกไปโอนเงินที่ตู้ให้เหนื่อยและคุ้มค่าด้วยการโอนเงินที่ไม่เสียค่าโอนต่างธนาคารอีกด้วย จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งระบบการจ่ายเงินที่ควรแก่การนำมาติดตั้งไว้ในร้านค้าออนไลน์เป็นอย่างมาก ดังนั้นลองมาดูข้อดีของการชำระผ่าน Online Payment ที่มีต่อทั้งเจ้าของร้านและลูกค้า คือ การชำระเงินที่ง่ายที่สุด      Online Payment ถูกออกแบบให้มีขั้นตอนที่สั้น สะดวกสบาย และเรียบง่ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การให้ลูกค้ากรอกเฉพาะข้อมูลที่จำเป็น และพยายามจบขั้นตอนการจ่ายเงินทั้งหมดในแพลตฟอร์มของเราเอง เช่น เชื่อม API กับธนาคาร เพื่อให้ลูกค้าสามารถล็อกอินบัญชีบัตรเครดิตหรือยืนยัน OTP โดยไม่ต้องสลับไปที่แอปฯ ธนาคาร เพิ่มฟีเจอร์ “จดจำรูปแบบการจ่ายเงิน” สำหรับลูกค้าเก่าที่กลับมาซื้อประจำอีกด้วย โอนเงินได้  24 ชั่วโมง      ไม่ว่าคุณจะโอนเงินเพื่อซื้อสินค้าออนไลน์, โอนเงินให้กับบุคคลอื่นๆ รวมไปถึงการโอนเงินเพื่อชำระหนี้สินต่างๆ ก็สามารถทำได้ตลอดเวลาและทำได้ตลอดเวลา เพราะระบบออนไลน์นั้นเตรียมพร้อมให้คุณได้ใช้งานอยู่เสมอ ไม่มีการปิดเหมือนกับเคาน์เตอร์ธนาคารทั่วไปและยังใช้งานได้ดีกว่าตู้ ATM เพราะคุณไม่ต้องออกจากบ้านและไม่ต้องกังวลเรื่องการโอนเงินผิดหรือการโดนโจรกรรมใดๆ ระหว่างการถอนเงิน คุณก็สามารถที่จะทำการโอนเงินหรือชำระค่าสินค้าได้อย่างสะดวกทันเวลาและรวดเร็ว แต่ควรระวังช่วงเวลาที่ทางธนาคารจะปิดปรับปรุงระบบประจำวัน โดยในแต่ละธนาคารจะมีเวลาที่แตกต่างกันออกไป ควรสอบถามไปทางธนาคารเพื่อหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านทาง Online Payment ในช่วงเวลานั้นๆ  ไม่มีค่าธรรมเนียมการโอน      การชำระผ่าน Online Payment เป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้คนยุคนี้หันมาใช้งานกันอย่างมากขึ้น เพราะด้วยไม่เสียค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินธนาคารแตกต่างที่กัน หรือการโอนเงินต่างธนาคารก็ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ แต่ถ้าทำผ่านทางตู้ ATM คุณอาจจะต้องเสียค่าธรรมเนียมตั้งแต่ 10 บาทไปจนถึง 60 บาทเลยก็ได้ ฉนั้นการใช้งาน Online Payment จึงจะช่วยทำให้คุณประหยัดเงินโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้แก่ทางธนาคารเลย สิทธิประโยชน์      การชำระเงินผ่าน Online Payment นอกจากจะให้ความรวดเร็ว ความสะดวกสบาย  แถมไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอนหรือการชำระค่าสินค้าแล้ว ยังสามารถเก็บสะสมแต้มเมื่อเข้าใช้งานในแต่ละครั้งหรือสะสมแต้มจากทำธุรกรรมทางการเงิน, การทำธุรกรรมออนไลน์ด้านการจ่ายหนี้ค่าอุปโภคและบริโภคต่างๆ ก็สามารถเก็บสะสมแต้มไว้ได้สิทธิ์เช่นเดียวกับการจับจ่ายในร้านค้าทั่วไป ซึ่งสามารถแลกสิทธิพิเศษในร้านค้าบางแห่ง หรือแลกเป็นของรางวัลมูลมากมายที่ทางธนาคารได้จัดเตรียมไว้ให้ได้อีกด้วย ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ยาก      การชำระเงินผ่าน Online Payment นั้นจะลดปัญหาเรื่องของการโอนเงินผิด หรือลดความผิดพลาดในการทำงานของระบบต่างๆ ได้ เพราะด้วย Online Payment  นั้นทำงานอย่างเป็นระบบ เป็นสัดส่วน และยังปลอดภัย เพราะคุณสามารถทำทุกอย่างผ่านทางระบบของ Online Payment ที่คุณจะสามารถตรวจสอบรายละเอียดได้อย่างชัดเจน ตรวจสอบชื่อและเลขที่บัญชี หรือใช้เวลาในการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ได้  โดยไม่ต้องรีบร้อนในทำรายการใดๆ ดังนั้นจึงเป็นจุดเด่นของการใช้งาน Online Payment ที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยต่อการโอนเงินของคุณมากยิ่งขึ้นนั่นเอง  ปลอดภัยตรวจสอบได้      การชำระผ่าน Online Payment สามารถตรวจสอบยอดเงิน, ข้อมูลการโอนเงิน, ข้อมูลการถอนเงิน หรือขอข้อมูลทางการเงินของคุณเองผ่านทางแอพธนาคาร เพื่อรับข้อมูลต่างๆ สู่อีเมล์ส่วนตัวได้อย่างสะดวกสบาย ระบบเหล่านี้ถูกทำมาเพื่อให้มีการใช้งานอย่างละเอียดแม่นยํา ระบุเวลาของการโอนเงิน การถอนเงิน และการทำธุรกรรมต่างๆ  ได้อย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ทำให้คุณตรวจสอบได้ทุกเมื่อที่ต้องการ          การชำระผ่าน Online Payment จะเป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นสำหรับเจ้าของร้านค้าออนไลน์ เพราะจะทำให้ลูกค้าของคุณสะดวกต่อการซื้อของมากขึ้น เพียงแค่มีแอพพลิเคชั่นของทางธนาคารติดอยู่ภายในสมาร์ทโฟนหรือบัตรเครดิตรเดบิต ใดๆ ก็สามารถชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าได้ทันที โดยทางพ่อค้าและแม่ค้าออนไลน์เพียงแต่คอยรับเงินอย่างเดียว ซึ่งระบบ Payment Online…

เครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขายออนไลน์

ปัจจุบันนั้น โลกดิจิทัลกลายเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงผู้บริโภคหรือลูกค้าได้มากขึ้น โลกของการตลาดทางอินเทอร์เน็ตนั้นกว้างใหญ่ หากคุณเคยใช้แค่ Facebook หรือ instagram เท่านั่นแปลว่าคุณใช้ศักยภาพทางการตลาดทางอินเทอร์เน็ตเพียงน้อยเท่านั้น ตอนนี้เราจะพาคุณให้ได้เรียนรู้เครื่องมือของการตลาด online เพื่อการส่งเสริมให้องค์กรหรือกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กมุ่งเน้นไปที่การตลาดเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเพื่อให้ครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ       1.SEO analytics (google)       โดยพื้นฐานแล้ว คนส่วนใหญ่มักใช้การค้นหาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่เขาสนใจ ดังนั้นขั้นตอนการทำ SEO(Search Engine Optimization) หรือการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหาคือการทำให้เว็บไซต์ธุรกิจของเราติดอันดับใน Google โดยใช้คำค้นหา คีย์เวิร์ด หรือคีย์เวิร์ดที่กำหนดผ่านองค์ประกอบต่างๆ บนเว็บไซต์ เช่น การตั้งชื่อเพจ สำหรับการเขียนบล็อก เป็นต้น เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหาที่มีประสิทธิภาพ มันจะสามารถสร้างความครอบคลุม โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา หากคุณมีเว็บไซต์ขายออนไลน์ ก็ครใช้ Google Analytics คู่กัน สิ่งที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากการมีเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณคือเครื่องมือรวบรวมสถิติ เครื่องมือวัด Google Analytics จะช่วยทำงานได้ดี นอกจากนี้ยังใช้งานได้ฟรีโดยไม่มีเงื่อนไขแอบแฝง สิ่งที่ Google Analytics มอบให้คุณคือการแจ้งให้คุณทราบว่าเนื้อหาใดในเว็บไซต์ของคุณแบบไหนจะได้รับการตอบรับที่ดีที่สุด เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่จะคลิกเข้าเว็บไซต์ที่อยู่ในหน้าแรกของ Google และมีโอกาสเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น และทราบถึงผู้เข้าชมมาจากเว็บไซต์หรือสื่อโซเชียลใดมากที่สุด  รวมไปถึงมันสามารถเก็บข้อมูล พฤติกรรมของลูกค้า ว่าเข้ามายังหน้าเว็บไซต์แล้วไปไหนต่อ ออกจากหน้าเว็บไซต์หรือคลิกซื้อสินค้า         2.Canva       หากธุรกิจของคุณไม่มีฝ่ายกราฟิกดีไซน์ที่ไว้คอยทำรูปภาพในการโพสต์แต่ล่ะอย่างลงบน Website/Blog หรือ Social Media ต่าง ๆ แล้วล่ะก็ คุณสามารถใช้ Canva ช่วยในการออกแบบได้อย่างง่ายดาย Canva เป็นแพลตฟอร์มออกแบบกราฟิก ไม่ว่าจะเป็นชิ้นงานเพื่อใช้ลง Social Media, Presentation, งานสิ่งพิมพ์ รวมไปถึงภาพเคลื่อนไหว Canva ประกอบไปด้วยเทมเพลตให้เลือกใช้มากมาย ทำให้ออกแบบชิ้นงานคุณภาพได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเจ้าตัว Canva นี้ เป็นเครื่องมือในการจัดการรูปภาพกราฟฟิคขนาดที่เหมาะสมกับแพลตฟอร์มที่คุณจะนำไปใช้โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นขนาดของรูปบน Facebook, Instagram, Youtube หรือจะออกแบบขนาดของนามบัตร โปสเตอร์ ก็สามารถทำได้อีกด้วย ควาสามมรถเด่นๆ ของ Canva ได้แก่ Template คุณสามารถประหยัดเวลาในการออกแบบองค์ประกอบกราฟิกจากเทมเพลตฟรี มีดีไซน์ให้เลือกมากกว่า 60,000 แบบจากนักออกแบบมืออาชีพ Text Tool ช่วยคุณบอกเล่าเรื่องราวในงานกราฟิก ใช้เครื่องมือปรับแต่งข้อความเพื่อย้ายหรือปรับขนาดข้อความโดยจับคู่รูปภาพกับข้อความ รองรับแบบอักษรของ Google Photo Toolมีเครื่องมือบางอย่างในการเพิ่มรูปภาพของคุณ หรือค้นหารูปภาพฟรีบน Canva เพื่อรองรับการตกแต่งรูปภาพ อนุญาตให้รูปภาพและข้อความผสมผสานกันอย่างลงตัว Teams การทำงานกับทีมสามารถสร้างการออกแบบร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ คุณสามารถแท็กสมาชิกในทีมและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอแนะของคุณได้ทันที       3.Facebook ads       การโฆษณาของ Facebook นั้น หลากหลายแบบครอบคลุมตั้งแต่ ลงโฆษณาบนเว็บไซต์ โปรโมทโพสต์ โปรโมทเพจ และเพิ่มการติดตั้งแอพพลิเคชั่น การเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มจำนวนที่มีสิทธิ์ได้รับส่วนลดและเพิ่มจำนวนการดูวิดีโอ ร้านค้าทั่วไปใช้ Facebook มักจะอาศัยการเปิดแฟนเพจเป็นร้านค้าเพื่อขายสินค้า ดังนั้นมันเกี่ยวกับโดยตรงก็คือ การโปรโมทเพจและโพสต์โปรโมชั่นนั่นเอง #โปรโมทโพส Promote Post – ซึ่งก็คือการซื้อโฆษณาทำให้ผู้คนเห็นโพสต์บน Facebook มากขึ้น ซึ่งมักจะเป็นโพสต์ขายโฆษณา  การโปรโมทโพสต์แต่ละโพสต์จึงเป็นการยิงตรงเป้าให้คนที่เราต้องการให้เห็นได้เห็นข่าวที่ร้านสื่อสารอย่างแน่นอน #โปรโมทเพจ Promote Page…

5 ฟีเจอร์ช่วยจัดการ Fan page ด้วย Facebook Business Manager

ตัวช่วยในการขายและจัดการ เฟสบุ๊คเพจ (Facebook page)ให้สะดวกและจบในที่เดียว พร้อมทั้งดูสรุปผลย้อนหลังการขาย ในวันนี้เราจะพาคุณรู้จักเครื่องมือจากเฟสบุ๊ค ที่สามารถสมัคร และใช้งานได้ฟรี หากคุณเป็นผู้ขายสินค้า หรือร้านค้าออนไลน์ หลายๆ คน คงหนีไม่พ้นการใช้ช่องทาง “โซเชียลมีเดีย” (Social media) อาทิ เฟสบุ๊ค (Facebook) และ อินสตาแกรม (Instagram)  ในการประชาสัมพันธ์ และขายสินค้าเป็นอย่างแน่แท้ หลายๆ ร้าน ยอมลงทุนในการทำสื่อ และโฆษณาดึงดูดให้ลูกค้า บางร้านมีการ “ไลฟ์สด” (Live stream) เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับลูกค้า ซึ่งนับได้ว่าเป็นเรื่องที่สร้างความแตกต่าง และเอกลักษณ์ในร้านค้าของเราได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อร้านค้าเริ่มขยายกิจการเพิ่มขึ้น เริ่มมีพนักงานเข้ามาช่วยขายมากขึ้น ทำให้การบริหารจัดการร้านค้า และโฆษณา เริ่มเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวและวุ่นวาย บางร้านมีสินค้าหลายชนิด มีการสร้าง เฟสบุ๊คเพจ (Facebook page) หลายเพจ ต้องเสียเวลาในการเข้าดูแต่ละเพจ วันนี้ทางเราจึงอยากแนะนำเครื่องมือจากเฟสบุ๊คที่ช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้น พร้อมยังสามารถจัดการบัญชี เฟสบุ๊ค (Facebook) และ อินสตาแกรม (Instagram) ในที่เดียว ใช้งานได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม   Facebook Business Manager คืออะไร หากจะหาอธิบาย Facebook Business Manager อาจจะกล่าวได้ว่า เป็นเครื่องมือที่ได้รวบรวม พร้อมช่วยจัดการเพจ โฆษณาสินค้า การจัดการกลุ่มลูกค้า และทีมงานขาย ทั้งหมดในที่เดียว ไม่ว่าคุณจะมีหลายเพจ มีทีมงานหลายคน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่ทางผู้เขียนชอบเป็นพิเศษนั่นคือ รายงานผลการยิงโฆษณา (Facebook ads) และเครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หน้าต่างการใช้งาน Facebook Business Manager   Facebook Business Manager ช่วยการขายให้สะดวกขึ้นได้อย่างไร อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า ทางเฟสบุ๊คได้รวบรวมหลายฟีเจอร์ในการบริหารจัดการเพจร้านค้า หรือ ธุรกิจ ไว้ที่เดียว ในที่นี้ผู้เขียนขอยก ฟีเจอร์เด่นๆ มาเล่าให้ฟังกัน 1. สร้างโฆษณาออกเป็นหลายหมวดหมู่ หรือ แต่ละกิจกรรม สิ่งที่หน้าสนใจสำหรับการจัดการโฆษณาบน Business Manager มีความแตกต่างกับแบบทั่วไป คือ มีเมนู Ads Manager ให้เราสามารถสร้างแคมเปญโฆษณาแยกแต่ละกิจกรรม หรือโปรโมชันได้ ซึ่งจะสามารถช่วยแบ่งกลุ่มเป้าหมายในการยิงโฆษณา และเลือกจุดประสงค์ของโฆษณาชุดนั้นว่าต้องการให้มีผลกับเพจของเราอย่างไร เช่น ต้องการสร้างการรับรู้ การเพิ่มยอดขายสินค้า และการสร้าง Engagement เป็นต้น นอกจากนั้นยังสามารถติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญได้อีกด้วย เริ่มต้นเข้าใจโครงสร้าง Ads Manager การจะเริ่มต้นยิงโฆษณาที่ดี คงหนีไม่พ้นการเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานของตัวระบบ Ads Manager ได้มีการออกแบบโครงสร้างหลัก 3 ส่วน ประกอบด้วย Campaigns, ad sets และ ads Campaigns เป็นโครงสร้างหลักสำหรับการสร้างโฆษณา ในตัวโครงสร้าง Campaigns นี้ให้คุณได้สามารถกำหนดเป้าหมายในการทำโฆษณาแก่กลุ่มลูกค้า หรือ คุณต้องการให้กลุ่มเป้าหมายมีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาของคุณอย่างไร โดยทางเฟสบุ๊ค ได้แบ่งหมวดหมู่ของการกำหนดเป้าหมายออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ 1.Awareness การสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์หรือการมองเห็นแก่กลุ่มเป้าหมาย 2.Consideration การสร้างการเข้าถึงตัวผลิตภัณฑ์แก่กลุ่มเป้าหมาย 3.Conversion การสร้าง Action หรือการกระทำของโฆษณาแก่กลุ่มเป้าหมาย ตัวเลือกเป้าหมายในการโฆษณา Ad sets การตั้งค่ากลุ่มเป้าหมาย…

บันไดธุรกิจสู่โลกดิจิทัล อย่างมีประสิทธิภาพ 1.2

                 Advertising Strategy – วางกลยุทธ์การทำโฆษณา ซึ่งส่วนสำคัญที่ดึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ คือการวางกลยุทธ์การทำโฆษณาที่ดี ยิ่งดึงดูดลูกค้าที่ต้องการให้เข้ามาเจอคุณ การดึงดูดกลุ่มเป้าหมายผ่านโซเชียลมีเดียเป็นอันดับแรก ซึ่งการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายของคุณ ควรที่จะผ่านโซเชียลมีเดียเพราะมีผู้ใช้แอพตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter หรือ Instagram แต่ละแอพมีข้อดีที่แตกต่าง นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่สำหรับลูกค้าเก่าในการโต้ตอบกับเนื้อหาของคุณและ Facebook สามารถดึงดูดผู้ชมหลักของคุณได้โดยกำหนดเป้าหมายความสนใจและพฤติกรรมของพวกเขาได้                  การสร้างเนื้อหาและแนวคิดที่สวยงาม รู้หรือไม่ว่า เนื้อหาที่ดึงดูดลูกค้านั่นสำคัญมาก เนื่องจากผู้ชมหลักของคุณจะเลื่อนบนหน้าจออย่างรวดเร็ว หากเนื้อหาที่คุณให้มาไม่น่าสนใจ แน่นอนว่าการโฆษณาก็จะไร้ผล ดังนั้นผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์จึงต้องแนะนำเนื้อหาที่สร้างสรรค์เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ชมที่ดูโฆษณา นอกจากนี้เนื้อหาที่มีคุณภาพสูงจะกระตุ้นการมีส่วนร่วมและทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณเป็นที่ประทับใจแก่ผู้ชม ได้เวลาสร้างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมแล้ว                  Budget Management – บริหารงบประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับโฆษณา ส่วนสำคัญสำหรับ  เพิ่มประสิทธิภาพการทำโฆษณา หากกลยุทธ์ถูกออกแบบมาดีแต่งบประมาณ ใช้อย่างไม่ตรงจุดก็เป็นการจ่ายเงินโดยศูนย์เปล่า ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน บริษัท จะสามารถดำเนินงานและทำงานและบริหารต่อไปได้ เพื่อให้มีประสิทธิภาพผู้บริหารจำเป็นต้องใช้ข้อมูลทางการบัญชีในการบริหารเพื่อช่วยในการวางแผน ตระหนักถึงอนาคตโดยการเตรียมงบประมาณสำหรับงบประมาณการดำเนินงานรวมถึงงบประมาณการขายและงบประมาณการผลิต งบประมาณวัตถุดิบโดยตรงงบประมาณแรงงานงบประมาณต้นทุนการผลิตงบประมาณสินค้าคงคลัง เมื่อสิ้นงวดงบประมาณต้นทุนของสินค้าที่ขาย งบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและงบประมาณกำไรขาดทุนจากการบริหาร งบประมาณทางการเงิน ได้แก่ งบประมาณเงินสดและงบประมาณงบดุลดังนั้นงบประมาณจึงเป็นเครื่องมือ สามารถช่วยวางแผนและกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานและยังเป็นแนวทางในการพัฒนาองค์กรแห่งอนาคต                  KPI & Monitoring – หมั่นตรวจสอบและวัดผลประสิทธิภาพของโฆษณาเพื่อให้ใช้ งบประมานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด                   KPI หรือตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลักเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดหรือประเมินประสิทธิภาพของข้อมูล จะพิจารณาว่าประสิทธิภาพของงานที่เสร็จสมบูรณ์ของคุณเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ สำหรับ บริษัท ต่างๆพวกเขายังต้องมี KPI เพื่อประเมินผลการดำเนินงาน  KPI ที่จำเป็นในการวัดผลประโยชน์ หรือใช้ในการสื่อสารกับทีมงาน บริษัท รวมถึงตัวแทนที่คุณร่วมมือด้วยผลการปฏิบัติงานแบบใดในการตั้งค่า KPI ที่ฉันต้องการให้เป็นไปตามเป้าหมายหรือผลลัพธ์ที่ต้องการ ปัจจัยต่างๆมีความสัมพันธ์กับจุดประสงค์นี้สามารถใช้วัดผลสำเร็จของงานได้การวัด KPI ของการตลาดบน Facebook ก็เหมือนกับการตั้งเป้าหมาย ต้องสามารถบรรลุได้แบ่งออกเป็นสองส่วนคือการวัดคุณภาพและการวัดผลโฆษณานั่นเอง                      Team Management – สร้างทีมหัวใจหลักสำหรับการเติบโตของบริษัท การดึงดูดคน ที่มีประสิทธิเขาทำงานยิ่งทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว การจัดการธุรกิจมีความเกี่ยวข้องกับการจัดการหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเงินคนสินค้าลูกค้าพันธมิตรทางธุรกิจกฎหมายเทคโนโลยี ฯลฯ ดังนั้นผู้บริหารธุรกิจที่ดีต้องเข้าใจโดยรวมว่าจะต้องบริหารทุกด้าน อย่างไรก็ตามไม่มีข้อยกเว้นในการพัฒนาและปรับสมดุลในธุรกิจ การพัฒนาการทำงานเป็นทีม เกี่ยวข้องกับการตระหนักถึงคุณค่า สมาชิกในทีมและพฤติกรรม พื้นฐานสำหรับสมาชิกในทีม การทำงานเป็นทีมจะเกิดขึ้น เฉพาะในกรณีที่สมาชิกในทีมสามารถทำได้ ทำความเข้าใจและบรรลุเป้าหมาย ทำงานด้วยกัน ความสำเร็จของทีมขึ้นอยู่กับ องค์ประกอบที่เหมาะสม สมาชิกในทีมมีความสำคัญมาก การพัฒนาการทำงานเป็นทีม ต้องอาศัยความเข้าใจของสมาชิก ทีมงานคือรากฐาน ผู้จัดการทีมที่ดีต้องเข้าใจทีมซึ่งทำให้เราต้องรับฟังมากขึ้น ได้แก่          …